สุจาริณี วิวัชรวงศ์ (ชื่อเล่น: เบ๊นซ์; 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2505) หรือเดิมคือ พันตรีหญิง หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยา เคยเป็นหม่อมในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร และเป็นอดีตนักแสดงชาวไทย มีชื่อแรกเกิดคือ ยุวธิดา ผลประเสริฐ และเคยใช้ชื่อในการแสดงว่า ยุวธิดา สุรัสวดี มีผลงานการแสดงภาพยนตร์และละครจำนวนหนึ่งช่วงปี พ.ศ. พ.ศ. 2520–22 แล้วออกจากวงการบันเทิง
ปัจจุบันสุจาริณีและพระโอรสทั้งสี่องค์ คือ จุฑาวัชร, วัชรเรศร, จักรีวัชร และวัชรวีร์ พำนักอยู่สหรัฐอเมริกา
สุจาริณี วิวัชรวงศ์ มีชื่อแต่แรกเกิดว่า ยุวธิดา ผลประเสริฐ เป็นธิดาของนายธนิต และนางเยาวลักษณ์ ผลประเสริฐ สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป
ธนิต ผลประเสริฐ (ชื่อเดิม เรือง) บิดาของเธอ เป็นนักแต่งเพลงและนักดนตรีของวงสุนทราภรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้สมัครเป็นหน่วยกล่อมขวัญในกองทัพไทยช่วงสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ทั้งนี้บันทึกจากหนังสือ "อนุสรณ์สุนทราภรณ์ครอบรอบ 30 ปี" ระบุว่า ธนิต ผลประเสริฐ เขียนทำนองเพลงให้วงดนตรีสุนทราภรณ์จำนวน 300 – 400 เพลง
สุจาริณี เข้าสู่วงการแสดงจากการชักนำของศรินทิพย์ ศิริวรรณ โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ยุวธิดา สุรัสวดี" และ "ยุวธิดา ผลประเสริฐ" ที่เป็นชื่อจริงด้วย แสดงละครโทรทัศน์เรื่อง "กฎแห่งกรรม" และ "มนุษย์ประหลาด" จากนั้นรับบทตัวประกอบในภาพยนตร์ 15 หยกๆ 16 ไม่หย่อน (2520) กำกับโดยชนะ คราประยูร และบทรองใน เลือดในดิน (2520) คู่กับสรพงศ์ ชาตรี และอรัญญา นามวงศ์ กำกับโดยสมสกุล ยงประยูร และได้รับบทนำ เป็น ช้อย ในภาพยนตร์เรื่อง แสนแสบ (2521) คู่กับ ไพโรจน์ สังวริบุตร กำกับโดย ไพรัช กสิวัฒน์ ไอ้ถึก (2522) คู่กับสรพงศ์ ชาตรี กำกับโดยจรัล พรหมรังสี อำนวยการสร้างโดยชาญ มีศรี และ หัวใจที่จมดิน (2522) กำกับโดยเชาว์ มีคุณสุต คู่กับพิศมัย วิไลศักดิ์ พิศาล อัครเศรณี อุเทน บุญยงค์ และมารศรี ณ บางช้าง
ช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2522 ยุวธิดาได้ออกจากวงการบันเทิง โดยปรากฏตามข่าวเพียงว่า "เธอ ยุวธิดา ผลประเสริฐ อดีตนางเอกดาวรุ่งหันหลังให้กับวงการบันเทิงด้วยความจำเป็นหลายประการ..."
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีปฏิสันถารกับสุจาริณีที่ขณะนั้นเป็นนักแสดงสาวที่มีชื่อเสียง และมีความสัมพันธ์ต่อกัน สุจาริณีได้ให้ประสูติพระโอรส-ธิดา จำนวน 5 องค์ ได้แก่
ล่วงมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 ทั้งสองได้อภิเษกสมรสกัน โดยมีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จมา แต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมิได้โดยเสด็จด้วย หลังพระราชพิธีอภิเษกสมรสจึงเปลี่ยนนามเป็น หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยา ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้มียศเป็น พันตรีหญิง แห่งกองทัพบกไทย และปรากฏตัวร่วมกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในพระราชพิธีต่าง ๆ จนในปี พ.ศ. 2539 หม่อมสุจาริณีและพระโอรส-ธิดาทั้งห้าองค์หนีไปยังประเทศอังกฤษ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารจึงทรงติดใบประกาศรอบพระตำหนักนนทบุรีกล่าวหาว่าสุจาริณีคบชู้กับพลอากาศเอกอนันต์ รอดสำคัญ ทหารอากาศวัย 60 ปี ตามมาด้วยการถอดยศทหารอากาศคนดังกล่าว ด้วยข้อหาผิดวินัยและหลบหนีคดีอาญา
หลังสุจาริณีลี้ภัยในต่างประเทศ เธอและพระโอรสถูกเนรเทศออกนอกประเทศไทยและใช้นามสกุลพระราชทานว่า "วิวัชรวงศ์" ส่วนพระธิดาองค์เล็กคือหม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล ได้กลับสู่ประเทศไทยโดยอยู่ในการดูแลของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ในเวลาต่อมาสุจาริณีและพระโอรสทั้งสี่องค์ได้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน